วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

Verb to do

Verb to  do

 

         Do / Does มีหลักการใช้คือ ถ้าเป็นกริยาสำคัญหรือกริยาเเท้ในประโยคจะมีความหมายว่า ทำ  เเละต้องเเยกใช้ไปตามประธานของปรธโยคให้ถูก  เช่น               
                
                He does  his homework.         They do their homework. 


               Do / Does เป็นกริยาช่วยในประโยคคำถามและปฏิเสธที่มีกริยาแท้อยู่แล้วในประโยค และประโยคนั้นไม่มี Verb to be (  is   am  are  ) ในบริบทของประโยคเช่นนี้  do , does จะไม่มีความหมาย  เป็นเพียงตัวช่วย  เช่น  

           He  does  not   have  any  sisters.           We do not buy a big a car.               
                  
                                                                                                 
 Remark : Verb  to  be  ไม่อยู่  เอา  Verb  to  do  เข้ามาช่วย  
                            do  not  ใช้รูปย่อเป็น    don’t  / does  not   ใช้รูปย่อเป็น  doesn’t                          
              

   ยกใช้ไปตามประธานของประโยคดังนี้


            1.  ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่  3  (  He , She , It  )   ใช้ Does

              2.  ประธานเป็นไม่ใช่เอกพจน์บุรุษที่  3  (  I , You  , We , They )    ใช้  Do

 

แยกใช้ตามตารางต่อไปนี้


I

 

 

 

 

do

 

 

 

 

it

You

We

They

Dang  and Dum

The  cats

Three  balls

He

 

 

 

does

 

 

 

it

She

It

Sam

Marry

A man

A dog  

 


 การใช้  Verb  to  do  ในประโยคปฏิเสธมีหลักการดังนี้

 

            1.  Verb to  do  เป็นเพียงกริยาช่วย  ( Helping  Verb ) ไม่ใช่กริยาแท้


            2.  กริยาแท้ของประโยคต้องใช้รูปเดิม  ( Base  form ) จะไม่มีการเติมหรือเปลี่ยนไปเป็นช่องใดทั้งสิ้น นะคะ

                 ประโยคบอกเล่า          He  likes  cartoon.

                 ประโยคปฏิเสธ            He  doesn’t  like  cartoon.

                 ประโยคบอกเล่า          They  play  football.

                 ประโยคปฏิเสธ            They  don’t  play  football.

  

การใช้  Verb  to  do  ในประโยคคำถาม  มีดังนี้

             1.  Yes / No  Questions

                ใช้  Verb  to  do  วางหน้าประโยค  ตามด้วยประธานของประโยคและกริยาแท้ของประโยควางเรียงต่อมา  ตัวอย่างเช่น

  กริยาแท้ใช้  Base  form  ( รูปเดิมที่ไม่ต้องเติมหรือผัน )

            ประโยคบอกเล่า          He  likes  cartoon.

            ประโยคคำถาม            Does  he  like  cartoon?

            ประโยคบอกเล่า          They  play  football.

            ประโยคคำถาม            Do  they  play  football?

 

                        2.  Wh. Questions

                 - ใช้  Verb  to  do  วางข้างหลัง Wh. และหน้าประธานของประโยค  ตามด้วยกริยาแท้ของประโยควางเรียงต่อมา  ตัวอย่างเช่น

            ประโยคคำถาม            What  does   he  want  ?

            ประโยคคำตอบ           He  wants  a  pen.

            ประโยคคำถาม            When  do  you  have  lunch ?

            ประโยคคำตอบ           I  have  lunch  at  12.00.

 

ขอบคุณเเหล่งที่มาจาก  http://tc.mengrai.ac.th/pranom/verb_to__do.htm

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ประโยค (Sentences)







1. ประโยค (Sentences)

              ประโยค (Sentences) หมายถึง กลุ่มคำหรือข้อความที่กล่าวออกมาแล้วมี
ใจความสมบูรณ์ ประโยคจะประกอบด้วยส่วนใหญ่ 2 ส่วน คือ
          

ภาคประธาน
ภาคแสดง

He
Shouted.
Mary
was selfish.
The loose door
rattled all night.
Those students
study hard for their exam.


          1.1 ภาคประธาน (Subject)  มีได้หลายรูปแบบ เช่น

                   1. เป็นคำนาม เช่น The man walked in the rain.
                   2. เป็นคำสรรพนาม เช่น He was a policeman.
                   3. เป็นอนุประโยค เช่น What he described frightened everybody.
                   4. เป็น gerund  เช่น Writing was her hobby.
                   5. เป็น gerund phrase เช่น Working in the South is dangerous.
                   6. เป็น infinitive เช่น To swim is a good exercise.
                   7. เป็น infinitive phrase เช่น To escape from the prison seems impossible for him.


          1.2 ภาคแสดง (Predicate)  จะต้องประกอบด้วยคำกริยา และมีกรรมที่รวมเรียกว่า Verb Completion หรือ  ส่วนขยายที่เรียกว่า Verb Modifiers

                   1. Verb Completion  เช่น
                             - She knows my name.
                             - Many people complained a lot about air pollution.
                   2. Verb Modifiers  เช่น
                             - The teacher should speak nicely to the children.
                             - Students can be observed in all classrooms.


2. ชนิดของประโยค

          ประโยค (Sentences) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

          2.1 ประโยคความเดียว (Simple Sentence) คือ ประโยคที่มีประโยคอิสระ (Independent Clause) เพียงประโยคเดียว เช่น
                    - Linda wrote that novel.
                    - The secretary answers the phone.

          2.2 ประโยคความรวม (Compound Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคอิสระ (Independent Clause) ตั้งแต่สองประโยคขึ้นไป และมีคำสันธานหรือคำเชื่อมมาเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ได้แก่ and, but, nor, or, for, so, และ yet  เช่น
                    - University students can live in the dormitories or in the private apartment.
                    - Woman lives longer than men, for they take better care of their health.
          2.3 ประโยคความซ้อน (Complex Sentence) คือ ประโยคผสมระหว่างประโยคอิสระ (Independent Clause) หนึ่งประโยค กับประโยคย่อย (Subordinate Clause) อย่างน้อยหนึ่งประโยคขึ้นไป  เช่น
                   - Some old people are afraid of using computer while others welcome it.
                   - Students who are in the second year are called sophomore.
                   - Curiosity is one of the early drives which can be used to the full by the elementary school teacher.

          2.4 ประโยคความผสม (Compound-Complex Sentence) คือ ประโยคผสมระหว่างประโยคความรวมกับประโยคความซ้อน  เช่น
                   - Before Jack could go to the party, he had to finish his annual report, but he found it hard to concentrate.

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555





การใช้ Articles (a, an, the)



Articles แบ่งออกได้เป็น  2 ชนิด คือ


 

  1. Indefinite Article ได้แก่ a, an (ใช้กับคำนามนับได้ที่ไม่เจาะจง)


                 2. Definite Article ได้แก่ the (ใช้กับคำนามนับได้ที่เจาะจง)

 


1. Indefinite Article ได้แก่  a, an (ใช้กับคำนามนับได้ที่ไม่เจาะจง)

หลักการใช้ a, an

       1. ใช้ an นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ a, e, i, o, u หรือออกเสียงสระไม่ว่าจะเขียนขึ้นต้นด้วยพยัญชนะก็ตาม เช่น
                              an elephant, an hour, an umbrella, an apple

       2. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่นับได้เสมอที่มีความหมายเป็น"หนึ่ง" เช่น
                              She has a dog.
                              Give me an apple.

       3. ใช้ a, an นำหน้าคำที่บอกอาชีพ เช่น
                              Junior's father is a doctor.
                              I want to be a teacher.

       4. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ที่แปลเป็นต่อ... (หน่วย) เช่น
                             Oranges cost 50 baht a kilogram.

        5. ใช้ a กับการเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น
                              a stomachache, a headache, a fever       
                              I ate Somtam at lunch and now I have a stomachache.

        6. ใช้ a, an ในประโยคอุทานตามหลัง what เช่น
                              What a nice dress!
                              What an old man!

                   *** เราจะไม่ใช้ a, an กับสิ่งต่อไปนี้  ***

                   1. ไม่ใช้กับคำนามที่นับไมได้ ( Uncountable nouns)
                   2. ไม่ใช้นำหน้าชื่อวิชา ชื่อกีฬา ชื่อประเทศ ชื่อเมือง ชื่อมหาวิทยาลัย
                   3. ไม่ใช้หน้าคำที่เป็นมื้ออาหาร breakfast, lunch, dinner





2. Definite Article ได้แก่ the (ใช้กับคำนามนับได้ที่เจาะจง)

 หลักการใช้ the

       1. ใช้กับคำนามนับได้เอกพจน์และพหูพจน์ที่เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน อันไหน สิ่งไหน
       2. ใช้ the นำหน้าคำนามที่มีสิ่งเดียว เช่น
                             the sun, the moon, the sky

       3. ใช้ the นำหน้าชื่อครอบครัว เช่น
                             he Browns, The Lees

       4. ตามปกติเราใช้ the นำหน้าชื่อหนังสือพิมพ์ เช่น

                            The Nation, The Times, The Sun

       5. ใช้ the กับชื่อสถานที่
                              ทะเล                        the Pacific
                              เทือกเขา                  the Himalayas
                              แม่น้ำ                        the Mississippi
                              ทะเลทราย                the Sahara
                              โรงแรม                     the Plaza
                              โรงหนังโรงละคร        the Playhouse
                              พิพิธภัณฑ์                the National Museum
                              ชื่อประเทศที่มีคำว่า    Republic, Kingdom, State

     6. ใช้ the เมื่อเราพูดโดยทั่วไปในเรื่องเครื่องดนตรี เช่น
                              the piano
                              I play the guitar.

     7. ใช้ the ก่อนคำว่า same เช่น
                              Your shirt is the same color as mine.

     8. ใช้ the + คำคุณศัพท์  เมื่อกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเป็นพิเศษ เช่น
                             the rich, the sick, the poor

     9. ใช้ the กับคำนามที่เราได้กล่าวมาแล้วทั้งผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่ากำลังพูดถึงสิ่งใด



                      *** เราจะไม่ใช้ the กับสิ่งต่อไปนี้  ***

                      1. ไม่ใช้ the นำหน้านาม+จำนวน เช่น  room 255
                      2. ไม่ใช้ the เมื่อเราพูดถึงสิ่งของหรือบุคคลโดยทั่วไป เช่น   I'm afraid of spiders.



ขอขอบคุณเเหล่งที่มาจากเว็บไซต์
http://www.thaigoodview.com/node/86491